วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

บทความความฝัน ความรัก และ สิ่งที่มีอยู่


ความฝัน ความรัก และ สิ่งที่มีอยู่
                                                                       นางสาวรัตติยา  หนูสุด


ทุกคนต่างก็มีความฝันรวมไปถึงความรัก ซึ่งทุกๆคนคงรู้แล้วว่าความฝันกับความรักของแต่ละคนนั้นต่างก็แตกต่างกันออกไป  แต่ละคนต่างก็ฝันไปต่างๆ  นาๆ  แต่ก็เชื่อเถอะว่าหากเป็นความฝันในเรื่องความรัก  ทุก ๆ  คนคงจะมีความฝันที่คล้ายๆกันนั่นคือ  การที่เราต้องการอยากจะให้คนรักของเรานั้นมีความสุขไม่ว่าจะเป็นความรักระหว่างเพื่อน  ความรักแบบคนรัก  รวมไปถึงความรักระหว่างคนในครอบครัว อยากเห็นรอยยิ้ม อยากเห็นเสียงหัวเราะ  อยากให้เขามีความสุข  และอยากให้เขารักเราเหมือนเช่นกับที่เรารักเขาความจริงแล้วความฝันเหล่านี้นั้นไม่ได้อยู่ห่างออกไปจากตัวของเราเลยแต่กลับอยู่รอบๆใกล้ๆตัวของเราตลอดเวลา  เพียงแค่เราใส่ใจสิ่งรอบๆตัวเราเราก็จะสัมผัสได้ว่ามันอยู่แค่เอื้อมเท่านั้นเอง มันอยู่ใกล้ตัวเราแค่นี้แต่...ทำไมในขณะที่มันอยู่ข้างๆตัวของเราเราทุกคนกลับมองข้ามและลืมเลือนมันไป  ทำไมนะหรือเพราะในขณะที่เรานั้นมอบความรักให้แก่ใครสักคนเราก็อยากให้เขามีความสุข  อยากให้เขายิ้มได้ อยากให้เขาหัวเราะอยู่เคียงข้างเราอย่างมีความสุขคุณจะสามารถรู้สึกและสัมผัสได้  เพราะเขาเองก็รู้สึกเช่นเดียวกับคุณคือพร้อมที่จะดูแลเราและทำให้เรามีความสุข  มีรอยยิ้มและเสียงหัวเรา   แน่นอนว่าเรารู้สึกและสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของเขาและตัวเราเองก็ยินดีที่จะรับความรู้สึกดีๆเหล่านั้นมา...แต่สิ่งดีๆต่างๆที่เขามอบให้เราความรู้สึกดีๆสิ่งดีๆที่เราได้รับมาจากเขามันกลับค่อยๆกลบความคิดของตัวเราเองไปอย่างช้าๆ  ช้าๆ  โดยที่เรานั้นอาจไม่รู้ตัวเราเองเลยด้วยซ้ำเราเริ่มที่จะเป็นฝ่ายรับมากกว่าการเป็นผู้ให้  และเริ่มที่จะติดใจกับสิ่งเหล่านี้ติดใจในสิ่งที่เขาให้เรามา  พอเวลาเริ่มผ่านไปนานวันเข้าที่สุดแล้วเราเองก็จะลืมไปแล้วว่าความฝันสิ่งที่เราตั้งใจนั้นคืออะไร...ผู้ที่เป็นฝ่ายให้นั้นก็จะเริ่มรู้สึกตัวว่าความจริงแล้วเขานั้นขาดอะไรไปหรือว่ามีสิ่งใดที่เขายังไม่ได้ทำจนตัวเขาเองก็เริ่มที่จะมองหาสิ่งนั้นทั้งที่ความจริงแล้วเขากลับไม่ได้ขาดแต่เขาเองกลับได้ทำมันนั้นหายไปต่างหากสิ่งที่เขาได้ทำลงไปมันกลับเริ่มไร้ค่าในสายตาของเขาเพราะว่าสิ่งดีๆมากมายที่เขามอบให้เรากลับไม่มีสิ่งใดที่ตอบกลับมาเหมือนเช่นในตอนแรกๆ  ในขณะที่ตัวเขาเองนั้นเริ่มลังเลใจและเกิดความสับสนในสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ในขณะเดียวกันนั้นเรากลับยินดีในสิ่งดีๆที่ได้รับต่อไปโดยที่เราไม่รู้ตัวเลยว่าเราได้หลงลืมสิ่งใดไปแล้ว  เราลืมความฝันลืมสิ่งที่เราเคยตั้งใจเอาไว้และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราลืมค่าของสิ่งที่ได้รับมาแต่กลับมองเห็นว่าสิ่งดีๆความรู้สึกดีๆที่เขาทำให้มันเป็นเพียง  ”หน้าที่ความรับผิดชอบ”  ที่เขาต้องทำให้เรา  เราเพียงมองว่ามันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นซึ่งมันเริ่มไร้ค่าผู้ที่เป็นฝ่ายให้เริ่มเกิดความรู้สึกท้อแท้และสิ้นหวังในที่สุดเขาเองก็หมดกำลังใจที่จะทำสิ่งดีๆให้กับเราเพราะความหลงลืมของอีกฝ่ายทำให้เขาเริ่มถอยห่างจากเราไปอย่างช้าๆ  เพราะเริ่มหมดแรงหมดกำลังใจที่จะทำตามความฝันของเขาต่อไปเขาจะค่อยๆลืมความฝันของตนเองเช่นกัน  ซึ่งในขณะเดียวกันเราเองก็เริ่มรู้สึกเริ่มสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเพียงแต่ว่าตัวเราอาจจะยังไม่เข้าใจความหมายของมันเพราะเรามองแต่เพียงว่าเขานั้นเปลี่ยนแปลงไปและคิดว่ามีใครหรือสิ่งใดมาทำให้เขาเปลี่ยนไป  โดยไม่รู้ตัวเลยว่าความจริงแล้วเราเองนั่นแหละที่เป็นคนทำให้เขาเปลี่ยนและที่สำคัญคนที่เปลี่ยนไม่ใช่เขาแต่คนที่เปลี่ยนไปจริงๆแล้วก็คือ  ตัวเราเองเราเปลี่ยนไปนานแล้วนานจนบางทีเราอาจจะจำไม่ได้  แล้วเมื่อทุกๆอย่างมันสายจนเกินไป  ความฝันต่างๆก็พลันสลายไปทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่เป็นอย่างที่คิดทุกอย่างเริ่มเป็นสีดำ   ความฝันเริ่มเป็นสีดำมืดมัวจนเรามองไม่เห็นทางแห่งความฝันของตัวเอง   ทั้งๆที่จุดเริ่มต้นของความฝันนั้นคือ  อยากให้คนรักของเรามีความสุข  ได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเขาจริงๆแล้วความฝันก็ยังคงอยู่ตรงนั้น  ยังคงอยู่ที่เดิมและยังคงอยู่กับเราตลอดเวลาเพียงแต่เรานั้นอาจหลงลืมมันไปหรือถูกบดบังไปจากความรู้สึกดีๆ  สิ่งดีๆ  ที่เขาได้มอบให้เราก็เท่านั้นเอง
“ความรัก”  ที่แท้จริงนั้นคือความปรารถนาดีรวมไปถึงสิ่งดีๆ  ความรู้สึกดีๆที่เรามีให้ต่อคนที่ตนรักไม่ว่าจะเป็นความรักในแบบเพื่อน  ความรักในแบบคนรัก  และความรักที่มีให้ต่อกันภายในครอบครัวซึ่งเรา  อยากให้เขามีความสุข  การให้อภัยเมื่อคนที่ตนรักทำผิดและใช้เวลาให้น้อยๆในการคิดว่า “ใครผิด” และ ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า  “อะไร”  เป็นสิ่งที่ผิดแม้เราเองไม่อาจแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาดไปในอดีตได้  คนเราแก้ไขอดีตไม่ได้  แต่เราอาจเปลี่ยนอนาคตของเราได้  “ความหวัง”  คือ  อนาคตที่เราวาดไว้อันเนื่องมาจาก ความเชื่อ  “ความฝัน” คือ  สิ่งที่ผลักดันให้เราก้าวเดินต่อไปข้างหน้าโดยใช้  ความเชื่อ  ความรักและความฝันเป็นแรงผลักดัน  บางทีเพียงแค่สิ่งเล็กๆบางสิ่งที่คนที่เรารักทำให้  อาจสร้างสรรค์และทำลายเราได้ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม  บางทีอาจไม่ใช่ว่าเราไม่เขาใจซึ่งกันและกัน  แต่คงเป็นเพราะหัวใจเรานั้นเราสื่อออกมาได้ ต่างกันมีคนจำนวนไม่น้อยที่ท้อแท้และทิ้งความฝันหมดกำลังใจแต่กลับสดใสด้วยความจริงใจความห่วงใย      จากคนรอบข้างและจากคนที่รักเรา  แค่มีเพื่อน  พ่อแม่  พี่น้อง  หรือแม้กระทั่งคนรักเอื้อมมือมาแตะบ่าของเราหรือจับมือเราไว้ยามที่เรามีปัญหา  การกระทำเช่นนี้สร้างพลังให้เราตั้งมากมาย  แด่คนที่คิดจะรักเริ่มรักและทุกคนที่อยู่ในห้วงแห่งความรัก  รวมไปถึงความรักในทุกรูปแบบ  ไม่ว่าจะเป็นแบบเพื่อน  หรือภายในครอบครัวก็ตาม  ได้โปรดคิดถึงความฝันของตนเอง  ได้โปรดทบทวนความฝันของตนเองบ่อยๆ  ว่าเรานั้นต้องการอะไร  ต้องการสิ่งใด  จงอย่าปล่อยให้การกระทำใดๆ  มาบดบังความฝันของเราจนมันสายเกินไป  จนพลาดพลั้งไป  เพียงอยากให้คุณรับรู้ว่าความฝันยังไม่ได้หายไปไหน  มันยังคงอยู่ตรงนั้น  ตรงที่ๆเดิม  เรายังไม่ได้สูญเสียมันไปหรอก  เพียงแค่เราได้ทบทวนอีกครั้งเราก็จะรู้ว่ามันยังอยู่ที่เดิมเพียงแค่รอเวลาที่จะ เริ่มต้นใหม่อีกครั้งก็เท่านั้นเอง  และมันก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกฝันกับใครอีก  หากเราเปิดประตูออกไป  มองเห็นทางเดินแต่เราไม่ก้าวต่อ  แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเส้นทางมันจะไปสิ้นสุดลงที่ตรงไหนเพียงแค่เราหยุดก้าวเราก็เริ่มถอยหลังแล้ว  ก่อนที่วันนี้คุณจะทำความรู้จักกับผู้คนใหม่ๆ  อย่าลืมสำรวจตัวเองก่อนว่า  ในช่วงเวลาที่ผ่านมาคุณได้ทำใครหล่นหายไปจากชีวิตหรือเปล่า  และจงมอบสิ่งดีๆให้แก่กันจะทำให้มีหนึ่งพลังฝันที่สดใสช่วยกันต่อยอดความรู้สึกของกันไปเพื่อชีวิตที่สดใสและงดงาม                         


ละครสังคีต


ละครสังคีต
ละครสังคีต คือ  ละครแบบหนึ่งที่มีทั้งพูดและร้องเป็นส่วนสำคัญเสมอกัน  จะตัดอย่างใดอย่างหนึ่งออกเสียมิได้  เพราะต่างก็มีถ้อยคำที่เป็นเนี้อเรื่องบรรจุอยู่ทั้งสองอย่าง  เช่น เรื่อง วั่งตี่วิวาห์พระสมุทร  และหนาม-ยอกเอาหนามบ่ง  พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖  เป็นต้น  ละครแบบนี้ทรงเรียกได้ว่า  “ละครสังคีต”  (Musical  Comedy)
 ความสำคัญของละครสังคีต  ขึ้นอยู่กับ  
๑.      ความไพเราะของเพลง
๒.    มีตัวตลกประกอบ
๓.     มีความงดงามของการแสดงหมู่
๔.     มีฉากที่งดงามตามบท
๕.     เครื่องแต่งตัวงามตามเรื่อง
๖.      มีการล้อเลียนและเล่นได้โลดโผนบ้าง
ละครสังคีตวั่งตี่มีคุณลักษณะที่ว่านี้หลายประการ  เช่น  มีชื่อตัวละครที่ชวนขบขัน  เช่น  พระเอกชื่อเกี้ยมซึงตี่  เจ้าเมืองชื่อ  แฮ่กึ๋ง  ปลัดเมืองชื่อ  ตะเลาเปา  เป็นต้น  มีบทร้องของตัวพระเอกที่บทร้องคมคาย  เช่น  บทร้องเพลงต้อยตลิ่งที่ว่า

“ เสียแรงที่เกิดมาจะพากันโศกไย  สิ่งใดไม่พอใจ  จงขับไปให้ไกลกาย                                                                                                                            
        มาเต้นมารำมาจับระบำ   มาหกคะมำ   ให้ใจสบาย
       อันตัวเรานี้ก็เป็นผู้ชาย   จะมัวมาอาย   ก็ขายหน้าซี
        ถึงเราจำพรากจากยอดนารี   หญิงอื่นก็มี   ดี ดีถมไป
        น่ากอดน่าจูบน่าลูบน่าไล้   ไม่ต้องเสียใจ   หาใหม่ได้เอย ”
               

ส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องตลก  จะเห็นได้จากเรื่องหนามยอกเอาหนามบ่ง  บทร้องของเมริแมนกับพวก   ตัวละคร  ในเพลงเทพทอง  ที่ว่า
“ ถ้าแม้อยากเป็นสุขแก้ทุกข์โศก                   เราก็โยกทำนองร้องเล่นขัน
 เล่นตลกบ้าบอพอฮากัน                              โสกระโดกโสกระดันแต่พอควร
ทำเป็นเมาฤทธิ์เหล้าเข้าหลายเท                    เดินโซเซซนไปพอให้สรวน
ไม่พุดหยาบพูดหยามหรือลามลวน               เล่นพอชวนหัวเราะเหมาะเป็นดี ”
                ความไพเราะของบทกลอนในละครสังคีต  จะพบตัวอย่างได้จากเรื่องวิวาห์พระสมุทรตอนไพเราะที่สุด  เห็นจะไม่มีตอนใดเกิน  ตอนที่อันเดรร้องเพลงแสดงความรักต่ออันโดรเมดา  เป็นบทที่มีทำนองพลงและถ้อยคำดียิ่งนัก  ขอยกตัวอย่างมาให้ดู  ดังนี้

เพลงคลื่นกระทบฝั่ง
                “  อันโดรเมดาสุดาสวรรค์                                               ยิ่งกว่าชีวันเสน่หา
          ขอเชิญสาวสวรรค์ขวัญฟ้า                                                  เปิดวิมานมองให้ชื่นใจ
        ถึงกลางวันสุริยันแจ่มประจักษ์                                             ไม่เห็นหน้านงลักษณ์ยิ่งมืดใหญ่
       ถึงราตรีมีจันทร์อันอำไพ                                                       ไม่เห็นโฉมประโลมใจยิ่งมืดมน
      อ้าดวงสุรีย์ศรีของพี่เอ๋ย                                                          ขอเชิญเผยหน้าต่างนางอีกหน
      ขอเชิญจันทร์ส่องสว่างกลางสกล                                           เยี่ยมมาให้พี่ยลเยือกอุรา  ”


เส้นทางอันยาวไกลของอักษรไทย